บทที่ 14 ไฟฟ้ากระแส
บทที่ 14 ไฟฟ้ากระแส
ไฟฟ้ากระแส คือ การไหลของอิเล็กตรอนภายใน ตัวนำไฟฟ้าจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเช่น ไหลจาก แหล่งกำเนิดไฟฟ้าไปสู่แหล่ง ที่ต้องการใช้กระ แสไฟฟ้า ซึ่งก่อให้เกิด แสงสว่าง เมื่อกระแส ไฟฟ้าไหลผ่านลวด ความต้านทานสูงจะก่อให้ เกิดความร้อน เราใช้หลักการเกิดความร้อน เช่นนี้มาประดิษฐ์อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น เตาหุงต้ม เตารีดไฟฟ้า เป็นต้น
แบ่งเป็น 2 ชนิด
- ไฟฟ้ากระแสตรง ( Direct Current หรือ D .C )
- ไฟฟ้ากระแสสลับ ( Alternating Current หรือ A.C. )
ไฟฟ้ากระแสตรง ( Direct Current หรือ D .C )
เป็นไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลไปทางเดียว ตลอดระยะเวลาที่วงจรไฟฟ้าปิดกล่าว คือ กระแสไฟฟ้าจะไหลจากขั้วบวก ภายในแหล่งกำเนิด ผ่านจากขั้วบวกจะไหลผ่านตัวต้านหรือโหลดผ่านตัวนำไฟฟ้าแล้ว ย้อนกลับเข้าแหล่งกำเนิดที่ขั้วลบ วนเวียนเป็นทางเดียวเช่นนี้ตลอดเวลา การไหลของไฟฟ้ากระแสตรงเช่นนี้ แหล่งกำเนิดที่เรารู้จักกันดีคือ ถ่าน-ไฟฉาย ไดนาโม ดีซี เยนเนอเรเตอร์ เป็นต้น

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทสม่ำเสมอ (Steady D.C) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง อันแท้จริง คือ เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ที่ไหลอย่างสม่ำเสมอตลอดไปไฟฟ้ากระแสตรงประเภทนี้ได้มาจากแบตเตอรี่หรือ ถ่านไฟฉาย
- ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทไม่สม่ำเสมอ ( Pulsating D.C) เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่เป็นช่วงคลื่นไม่สม่ำเสมอ ไฟฟ้ากระแสตรงชนิดนี้ได้มาจากเครื่องไดนาโมหรือ วงจรเรียงกระแส (เรคติไฟ )
- คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสตรง
กระแสไฟฟ้าไหลไปทิศทางเดียวกันตลอด
มีค่าแรงดันหรือแรงเคลื่อนเป็นบวกอยู่เสมอ
สามารถเก็บประจุไว้ในเซลล์ หรือแบตเตอรี่ได้
ความถี่
หมายถึง จำนวนลูกคลื่นไฟฟ้ากระแสสลับที่เปลี่ยนแปลงใน 1 วินาที กระแสไฟฟ้าสลับในเมืองไทยใช้ไฟฟ้าที่มี ความถี่ 50 เฮิรตซ์ ซึ่งหมายถึง จำนวนลูกคลื่นไฟฟ้าสลับที่เปลี่ยนแปลง 50 รอบ ในเวลา 1 วินาที คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสสลับ
แบ่งเป็น 2 ชนิด
- ไฟฟ้ากระแสตรง ( Direct Current หรือ D .C )
- ไฟฟ้ากระแสสลับ ( Alternating Current หรือ A.C. )
ไฟฟ้ากระแสตรง ( Direct Current หรือ D .C )
เป็นไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลไปทางเดียว ตลอดระยะเวลาที่วงจรไฟฟ้าปิดกล่าว คือ กระแสไฟฟ้าจะไหลจากขั้วบวก ภายในแหล่งกำเนิด ผ่านจากขั้วบวกจะไหลผ่านตัวต้านหรือโหลดผ่านตัวนำไฟฟ้าแล้ว ย้อนกลับเข้าแหล่งกำเนิดที่ขั้วลบ วนเวียนเป็นทางเดียวเช่นนี้ตลอดเวลา การไหลของไฟฟ้ากระแสตรงเช่นนี้ แหล่งกำเนิดที่เรารู้จักกันดีคือ ถ่าน-ไฟฉาย ไดนาโม ดีซี เยนเนอเรเตอร์ เป็นต้น

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทสม่ำเสมอ (Steady D.C) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง อันแท้จริง คือ เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ที่ไหลอย่างสม่ำเสมอตลอดไปไฟฟ้ากระแสตรงประเภทนี้ได้มาจากแบตเตอรี่หรือ ถ่านไฟฉาย
- ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทไม่สม่ำเสมอ ( Pulsating D.C) เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่เป็นช่วงคลื่นไม่สม่ำเสมอ ไฟฟ้ากระแสตรงชนิดนี้ได้มาจากเครื่องไดนาโมหรือ วงจรเรียงกระแส (เรคติไฟ )
- คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสตรง
กระแสไฟฟ้าไหลไปทิศทางเดียวกันตลอด
มีค่าแรงดันหรือแรงเคลื่อนเป็นบวกอยู่เสมอ
สามารถเก็บประจุไว้ในเซลล์ หรือแบตเตอรี่ได้
ประโยชน์ของไฟฟ้ากระแสตรง
- ใช้ในการชุบโลหะต่างๆ
- ใช้ในการทดลองทางเคมี
- ใช้เชื่อมโลหะและตัดแผ่นเหล็ก
- ทำให้เหล็กมีอำนาจแม่เหล็ก
- ใช้ในการประจุกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่
- ใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
- ใช้เป็นไฟฟ้าเดินทาง เช่น ไฟฉาย
ไฟฟ้ากระแสสลับ ( Alternating Current หรือ A.C. )
เป็นไฟฟ้าที่มีการไหลกลับไป กลับมา ทั้งขนาดของกระแสและแรงดันไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คือ กระแสจะไหลไปทางหนึ่งก่อน ต่อมาก็จะไหลสวนกลับแล้ว ก็เริ่มไหลเหมือนครั้งแรก ครั้งแรกกระแสไฟฟ้าจะไหลจากแหล่งกำเนิดไปตามลูกศรเส้นหนัก เริ่มต้นจากศูนย์ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงขีดสุด แล้วมันจะค่อยๆลดลงมาเป็นศูนย์อีกต่อจากนั้นกระแสไฟฟ้าจะไหลจากแหล่งกำเนิดไปตามลูกศรเส้นปะลดลงเรื่อยๆจนถึงขีด ต่ำสุด แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงศูนย์ตามเดิมอีก เมื่อเป็นศูนย์แล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปทางลูกศรเส้นหนักอีกเป็นดังนี้ เรื่อยๆไปการที่กระแสไฟฟ้าไหลไปตามลูกศร เส้นหนักด้านบนครั้งหนึ่งและไหลไปตามเส้นประด้านล่างอีกครั้งหนึ่ง เวียน กว่า 1 รอบ ( Cycle )
หมายถึง จำนวนลูกคลื่นไฟฟ้ากระแสสลับที่เปลี่ยนแปลงใน 1 วินาที กระแสไฟฟ้าสลับในเมืองไทยใช้ไฟฟ้าที่มี ความถี่ 50 เฮิรตซ์ ซึ่งหมายถึง จำนวนลูกคลื่นไฟฟ้าสลับที่เปลี่ยนแปลง 50 รอบ ในเวลา 1 วินาที คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสสลับ
- สามารถส่งไปในที่ไกลๆได้ดี กำลังไม่ตก
- สามารถแปลงแรงดันให้สูงขึ้นหรือต่ำลงได้ตามต้องการโดยการใช้หม้อแปลง(Transformer)

ประโยชน์ของไฟฟ้ากระแสสลับ
- ใช้กับระบบแสงสว่างได้ดี
- ประหยัดค่าใช้จ่าย และผลิตได้ง่าย
- ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการกำลังมากๆ
- ใช้กับเครื่องเชื่อม
- ใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ไฟฟ้าได้เกือบทุกชนิด
การนำไฟฟ้า
ตัวนำไฟฟ้า เป็นตัวกลางให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน การนำไฟฟ้า เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเลคตรอนอิสระ ไอออนบวก ไอออนลบ
ตัวนำไฟฟ้า เป็นตัวกลางให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน การนำไฟฟ้า เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเลคตรอนอิสระ ไอออนบวก ไอออนลบ
14.1 กระแสไฟฟ้า
(1).jpg)
เมื่อ Q คือ ปริมาณประจุไฟฟ้าที่ไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดตัวนำ ณ จุดหนึ่งๆ (C)
t คือ เวลาที่ประจุไฟฟ้าไหลผ่านจุดนั้นๆ (s)
I คือ กระแสไฟฟ้าที่เกิด (A)
Q = ne
เมื่อ Q คือ ปริมาณประจุไฟฟ้าที่ไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดตัวนำ ณ จุดหนึ่งๆ (C)
n คือ จำนวนอนุภาคไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หน้าตัดตัวนำ ณ จุดนั้น
e คือ ประจุไฟฟ้าของอนุภาคแต่ละตัว (C)
I = Nev A
เมื่อ N คือ ความหนาแน่นอิเล็กตรอน
e = 1.6 * 10^-19 (C)
v คือ ความเร็วลอยเลื่อนของอิเล็กตรอน (m/s) (ความเร็วอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ในตัวนำ)
A คือ พื้นที่หน้าตัดของตัวนำ (ตร.ม.)
ควรทราบเพิ่มเติม
พื้นที่ใต้กราฟกระแสไฟฟ้า กับ เวลา มีขนาดเท่ากับ ปริมาณประจุไฟฟ้า
14.2 ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์
14.2.1 กฎของโอห์มและความต้านทาน
กระแสไฟฟ้าที่ผ่านลวดนิโครมแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายของลวดนิโครม”
จึงเขียนเป็นสมการความสัมพันธ์ ได้ดังนี้
จึงเขียนเป็นสมการความสัมพันธ์ ได้ดังนี้
เมื่อ V คือ ความต่างศักย์ (V)
I คือ ปริมาณกระแสไฟฟ้า (A)
R คือ ความต้านทาน (โอห์ม)
14.2.2 สภาพต้านทานไฟฟ้า และสภาพนำไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ของความต่างศักย์ไฟฟ้า (V) และกระแสไฟฟ้า (


2. ความต้านทาน (R) ของลวดโลหะจะแปรผกผันกับภาคตัดขวาง(A)ของลวดโลหะ เมื่อความยาว(

เขียนความสัมพันธ์ได้ว่า …


เมื่อ …
r = ค่าคงตัว เรียกว่า สภาพต้านทาน (resistivity) มีหน่วยเป็น โอห์ม.เมตร (W.m)

จากสมการ ...

พบว่า ... สภาพต้านทานของสารมีค่าเท่ากับความต้านทานของสารที่มีภาคตัดขวาง 1 m2 และมีความยาว 1 m
14.3 พลังงานไฟฟ้า และกำลังไฟฟ้า
14.3.1 พลังงานไฟฟ้า

เมื่อ W คือ พลังงานไฟฟ้า (J)
Q คือ ประจุไฟฟ้า (C)
V คือ ความต่างศักย์ (V)
14.3.2 กำลังไฟฟ้า

เมื่อ P คือ กำลังไฟฟ้า (J/s,W)
W คือ พลังงานไฟฟ้า (J)
t คือ เวลา (s)
การคำนวณหาจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ไปและเงินค่าไฟ
Unit = (P/1000) t
ค่าไฟฟ้า = (Unit) (ราคาต่อหน่วย)
เมื่อ unit คือ จำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ (kW.Hr)
P คือ กำลังไฟฟ้า (J/s,W)
t คือ เวลา (ชั่วโมง)
14.4 การต่อตัวต้านทาน
14.4.1 การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม

Iรวม = I1 = I2
V1 ไม่เท่ากับ V2 ไม่เท่ากับ ...
Vรวม = V1+V2+...
Rรวม = R1+R2+...
14.4.2 การต่อตัวต้านทานแบบขนาน

I1 ไม่เท่ากับ I2 ไม่เท่ากับ ....
Iรวม = I1+I2+...
Vรวม = V1 = V2 =...
1/Rรวม = 1/R1 + 1/R2 + ...
14.5 แรงเคลื่อนไฟฟ้า และการต่อแบตเตอรี่
14.5.1 แรงเคลื่อนไฟฟ้า
แรงเคลื่อนไฟฟ้า เป็นพลังงานที่แหล่งกำเนิดนั้นจะสามารถให้ได้ต่อหน่วยประจุไฟฟ้า
E = I (R+r)
เมื่อ E คือ แรงเคลื่อนไฟฟ้า (V)
I คือ ปริมาณกระแสไฟฟ้า (A)
R คือ ความต้านทานภายนอกเซลล์ไฟฟ้า (โอห์ม)
r คือ ความต้านทานภายในเซลล์ไฟฟ้า (โอห์ม)
14.5.2 การต่อแบตเตอรี
ก. การต่อแบตเตอรีแบบอนุกรม
1.ต่อถูกทิศ (หันขั้วบวกของแบตเตอรี่ไปทางเดียวกัน)
Eรวม = E1 + E2
2.ถ้าต่อกลับทิศ (คือหันขั้วบวกของแบตเตอรี่ไปคนละทาง)
Eรวม = E1-E2
ความต้าน
rรวม = r1+ r2
ข.การต่อแบตเตอรีแบบขนาน
แบตเตอรี่แต่ละตัวมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเท่ากัน และหันขั้วบวกไปทางเดียวกัน
Eรวม = E แบตเตอรี่ตัวเดียว
1/rรวม = 1/r1 + 1/r2 + ...
14.6 เครื่องวัดไฟฟ้า
14.6.1 แอมมิเตอร์


14.6.2 โวลต์มิเตอร์


14.6.3 โอห์มมิเตอร์


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น