วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่ 15 ไฟฟ้าและแม่เหล็ก

1.สนามแม่เหล็ก



f = B A Sin q




เมื่อ   B  คือ  สนามแม่เหล็ก (T,เทสลา)

         A  คือ  พื้นที่ที่เส้นแรงแม่เหล็กผ่าน (m^2)

         q   คือ  มุมระหว่าง A กับ B

         f   คือ  ฟลักซ์แม่เหล็ก (Wb, เวเบอร์)

         








เส้นแรงแม่เหล็กมีทิศพุ่งออกจากเหนือไปใต้








ขั้วโลกเหนือ เป็นแม่เหล็กขั้วใต้

ขั้วโลกใต้ เป็นแม่เหล็กขั้วเหนือ



                      x          x          x           x          x          x

                      x          x          x           x          x          x

                      x          x          x           x          x          x

                      x          x          x           x          x          x

                      x          x          x           x          x          x


ถ้า B มีทิศพุ่งเข้า แทนด้วย x




                                                           .     .     .     .     .     .
                                                           .     .     .     .     .     .
                                                           .     .     .     .     .     .
                                                           .     .     .     .     .     .
                                                           .     .     .     .     .     .

ถ้า B มีทิศพุ่งออก แทนด้วย  .


>>>> เข้าดอก ออกจุด <<<<



2.แรงที่กระทำต่อ q ในสนาม B








F = q V B Sin q



เมื่อ  F  คือ  ขนาดของแรง (N)

        q  คือ  ประจุ (C)

        B  คือ  สนามแม่เหล็ก (T,เทสลา)








การหาทิศ

1. นิวทั้ง 4 (ชี้ นาง กลาง ก้อย) ชี้ตาม V

2. กำนิ้วทั้ง 4 ไปหา B

3. F จะชี้ตามนิ้วโป้ง


+ มือขวา          - มือซ้าย         x  คว่ำ        หงาย





ถ้า q  วิ่งตั้งฉากกับ  B  ตะทำให้เคลื่อนที่เป็นวงกลม





        








3.แรงที่กระทำต่อลวดมีกระแสไฟฟ้า I





F = I L B Sin q




เมื่อ  F  คือ แรงกระทำต่อเส้นลวดนั้น (N)
        
        I   คือ กระแสที่ไหลผ่าน (I)

        L  คือ  ความยาวของเส้นลวด (m)

        q  คือ  มุมระหว่างทิศการไหลกระแสไฟฟ้ากับทิศของสนามแม่เหล็ก



4. มอเตอร์   



พลังงานไฟฟ้า >>> พลังงานกล



มี 2 ประเภท คือ  มอเตอร์กระแสตรง   ,  มอเตอร์กระแสสลับ



มอเตอร์กระแสตรง







เมื่อ  M  คือ  โมเมนต์ที่กระทำต่อลวด

        N  คือ  จำนวนรอบขดลวด

        I   คือ กระแสไฟฟ้า

        A  คือ  พื้นที่

        B  คือ  สนามแม่เหล็ก



แรงเคลื่อนไฟฟ้าดันกลับ เกิดจากการหมุนของมอเตอร์  ทิศตรงข้ามกับ E



I = E-e/R+r



5.ไดนาโม


พลังงานกล >>> กระแสไฟฟ้า

มี 2 ประเภท คือ  ไดนาโมกระแสตรง  ,  ไดนาโมกระแสสลับ

6.แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำ











7.หม้อแปลงไฟฟ้า




ไฟฟ้ากระแสสลับ


1.ปริมาณที่เกี่ยวข้อง






2.ความต้านทานของวงจร






3.ความสัมพันธ์ของ V กับ I




4.วงจรกระแสสลับ





5.กำลังไฟฟ้า








บทที่ 14 ไฟฟ้ากระแส



บทที่ 14 ไฟฟ้ากระแส

ไฟฟ้ากระแส คือ การไหลของอิเล็กตรอนภายใน ตัวนำไฟฟ้าจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเช่น ไหลจาก แหล่งกำเนิดไฟฟ้าไปสู่แหล่ง ที่ต้องการใช้กระ แสไฟฟ้า ซึ่งก่อให้เกิด แสงสว่าง เมื่อกระแส ไฟฟ้าไหลผ่านลวด ความต้านทานสูงจะก่อให้ เกิดความร้อน เราใช้หลักการเกิดความร้อน เช่นนี้มาประดิษฐ์อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น เตาหุงต้ม เตารีดไฟฟ้า เป็นต้น

แบ่งเป็น 2 ชนิด

- ไฟฟ้ากระแสตรง ( Direct Current หรือ D .C )
- ไฟฟ้ากระแสสลับ ( Alternating Current หรือ A.C. )

ไฟฟ้ากระแสตรง ( Direct Current หรือ D .C )

          เป็นไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลไปทางเดียว ตลอดระยะเวลาที่วงจรไฟฟ้าปิดกล่าว คือ กระแสไฟฟ้าจะไหลจากขั้วบวก ภายในแหล่งกำเนิด ผ่านจากขั้วบวกจะไหลผ่านตัวต้านหรือโหลดผ่านตัวนำไฟฟ้าแล้ว ย้อนกลับเข้าแหล่งกำเนิดที่ขั้วลบ วนเวียนเป็นทางเดียวเช่นนี้ตลอดเวลา การไหลของไฟฟ้ากระแสตรงเช่นนี้ แหล่งกำเนิดที่เรารู้จักกันดีคือ ถ่าน-ไฟฉาย ไดนาโม ดีซี เยนเนอเรเตอร์ เป็นต้น


            แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
 - ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทสม่ำเสมอ (Steady D.C) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง อันแท้จริง คือ เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ที่ไหลอย่างสม่ำเสมอตลอดไปไฟฟ้ากระแสตรงประเภทนี้ได้มาจากแบตเตอรี่หรือ ถ่านไฟฉาย
- ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทไม่สม่ำเสมอ ( Pulsating D.C) เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่เป็นช่วงคลื่นไม่สม่ำเสมอ ไฟฟ้ากระแสตรงชนิดนี้ได้มาจากเครื่องไดนาโมหรือ วงจรเรียงกระแส (เรคติไฟ )
  - คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสตรง
กระแสไฟฟ้าไหลไปทิศทางเดียวกันตลอด
มีค่าแรงดันหรือแรงเคลื่อนเป็นบวกอยู่เสมอ
สามารถเก็บประจุไว้ในเซลล์ หรือแบตเตอรี่ได้
    ประโยชน์ของไฟฟ้ากระแสตรง


    • ใช้ในการชุบโลหะต่างๆ
    • ใช้ในการทดลองทางเคมี
    • ใช้เชื่อมโลหะและตัดแผ่นเหล็ก
    • ทำให้เหล็กมีอำนาจแม่เหล็ก
    • ใช้ในการประจุกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่
    • ใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
    • ใช้เป็นไฟฟ้าเดินทาง เช่น ไฟฉาย
    ไฟฟ้ากระแสสลับ ( Alternating Current หรือ A.C. )


        เป็นไฟฟ้าที่มีการไหลกลับไป กลับมา ทั้งขนาดของกระแสและแรงดันไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คือ กระแสจะไหลไปทางหนึ่งก่อน ต่อมาก็จะไหลสวนกลับแล้ว ก็เริ่มไหลเหมือนครั้งแรก          ครั้งแรกกระแสไฟฟ้าจะไหลจากแหล่งกำเนิดไปตามลูกศรเส้นหนัก เริ่มต้นจากศูนย์ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงขีดสุด แล้วมันจะค่อยๆลดลงมาเป็นศูนย์อีกต่อจากนั้นกระแสไฟฟ้าจะไหลจากแหล่งกำเนิดไปตามลูกศรเส้นปะลดลงเรื่อยๆจนถึงขีด ต่ำสุด แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงศูนย์ตามเดิมอีก เมื่อเป็นศูนย์แล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปทางลูกศรเส้นหนักอีกเป็นดังนี้ เรื่อยๆไปการที่กระแสไฟฟ้าไหลไปตามลูกศร เส้นหนักด้านบนครั้งหนึ่งและไหลไปตามเส้นประด้านล่างอีกครั้งหนึ่ง เวียน กว่า 1 รอบ ( Cycle )

      ความถี่
                หมายถึง จำนวนลูกคลื่นไฟฟ้ากระแสสลับที่เปลี่ยนแปลงใน 1 วินาที กระแสไฟฟ้าสลับในเมืองไทยใช้ไฟฟ้าที่มี ความถี่ 50 เฮิรตซ์ ซึ่งหมายถึง จำนวนลูกคลื่นไฟฟ้าสลับที่เปลี่ยนแปลง 50 รอบ ในเวลา 1 วินาที                                                                          คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสสลับ
      • สามารถส่งไปในที่ไกลๆได้ดี กำลังไม่ตก
      • สามารถแปลงแรงดันให้สูงขึ้นหรือต่ำลงได้ตามต้องการโดยการใช้หม้อแปลง(Transformer)
      ประโยชน์ของไฟฟ้ากระแสสลับ
      • ใช้กับระบบแสงสว่างได้ดี
      • ประหยัดค่าใช้จ่าย และผลิตได้ง่าย
      • ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการกำลังมากๆ
      • ใช้กับเครื่องเชื่อม
      • ใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ไฟฟ้าได้เกือบทุกชนิด
      การนำไฟฟ้า
                ตัวนำไฟฟ้า เป็นตัวกลางให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน การนำไฟฟ้า เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเลคตรอนอิสระ ไอออนบวก ไอออนลบ


      14.1 กระแสไฟฟ้า











      เมื่อ    Q  คือ ปริมาณประจุไฟฟ้าที่ไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดตัวนำ ณ จุดหนึ่งๆ (C)
                 t   คือ  เวลาที่ประจุไฟฟ้าไหลผ่านจุดนั้นๆ (s)
                 I   คือ  กระแสไฟฟ้าที่เกิด (A)


      Q = ne



      เมื่อ    Q  คือ ปริมาณประจุไฟฟ้าที่ไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดตัวนำ ณ จุดหนึ่งๆ (C)
                 n   คือ  จำนวนอนุภาคไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หน้าตัดตัวนำ ณ จุดนั้น
                 e   คือ  ประจุไฟฟ้าของอนุภาคแต่ละตัว (C)        

      I = Nev A


      เมื่อ   N  คือ ความหนาแน่นอิเล็กตรอน
               e    = 1.6 * 10^-19 (C)
               v  คือ  ความเร็วลอยเลื่อนของอิเล็กตรอน (m/s) (ความเร็วอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ในตัวนำ)
               A  คือ พื้นที่หน้าตัดของตัวนำ (ตร.ม.)




      ควรทราบเพิ่มเติม

       พื้นที่ใต้กราฟกระแสไฟฟ้า กับ เวลา มีขนาดเท่ากับ ปริมาณประจุไฟฟ้า  

      14.2 ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์
      14.2.1 กฎของโอห์มและความต้านทาน



      กระแสไฟฟ้าที่ผ่านลวดนิโครมแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายของลวดนิโครม”
      จึงเขียนเป็นสมการความสัมพันธ์ ได้ดังนี้



      เมื่อ   V  คือ ความต่างศักย์ (V)
                I   คือ  ปริมาณกระแสไฟฟ้า (A)
                R  คือ  ความต้านทาน (โอห์ม)

      14.2.2 สภาพต้านทานไฟฟ้า และสภาพนำไฟฟ้า




        ความสัมพันธ์ของความต่างศักย์ไฟฟ้า (V)  และกระแสไฟฟ้า ( เพื่อหาความต้านทานของลวดโลหะตามกฎของโอห์ม  จะได้ว่า ...         1.  ความต้านทาน (R) ของลวดโลหะแปรผันกับความยาว () ของลวดโลหะ  เมื่อภาคตัดขวาง (A)มีค่าคงตัว
               2.  ความต้านทาน (R) ของลวดโลหะจะแปรผกผันกับภาคตัดขวาง(A)ของลวดโลหะ  เมื่อความยาว() ของลวดคงที่
        
             เขียนความสัมพันธ์ได้ว่า …
                                                     
                                                     
       
              เมื่อ …
                        r         =         ค่าคงตัว เรียกว่า สภาพต้านทาน (resistivity)  มีหน่วยเป็น โอห์ม.เมตร (W.m)

        
                 ค่าสภาพต้านทานเป็นค่าเฉพาะของสารหนึ่งๆ  ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิคงตัวหนึ่ง

      จากสมการ
       ...
                                                     

               พบว่า ... สภาพต้านทานของสารมีค่าเท่ากับความต้านทานของสารที่มีภาคตัดขวาง 1 m2  และมีความยาว 1 m

      14.3 พลังงานไฟฟ้า และกำลังไฟฟ้า

      14.3.1 พลังงานไฟฟ้า







      เมื่อ  W คือ พลังงานไฟฟ้า (J)
               Q คือ ประจุไฟฟ้า (C)
               V  คือ ความต่างศักย์ (V)

      14.3.2 กำลังไฟฟ้า







      เมื่อ   P  คือ กำลังไฟฟ้า (J/s,W)
                W คือ พลังงานไฟฟ้า (J)
                t   คือ เวลา (s)


      การคำนวณหาจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ไปและเงินค่าไฟ



       Unit =  (P/1000) t

      ค่าไฟฟ้า = (Unit) (ราคาต่อหน่วย)


      เมื่อ  unit คือ จำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ (kW.Hr)
              P  คือ กำลังไฟฟ้า (J/s,W)
              t   คือ  เวลา (ชั่วโมง)

      14.4 การต่อตัวต้านทาน


      14.4.1 การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม



      Iรวม = I1 = I2

      V1 ไม่เท่ากับ V2 ไม่เท่ากับ ...

      Vรวม = V1+V2+...

      Rรวม = R1+R2+...

      14.4.2 การต่อตัวต้านทานแบบขนาน







      I1 ไม่เท่ากับ I2 ไม่เท่ากับ ....

      Iรวม = I1+I2+...

      Vรวม = V1 = V2 =...

      1/Rรวม = 1/R1 + 1/R2 + ...

      14.5 แรงเคลื่อนไฟฟ้า และการต่อแบตเตอรี่

      14.5.1 แรงเคลื่อนไฟฟ้า

      แรงเคลื่อนไฟฟ้า  เป็นพลังงานที่แหล่งกำเนิดนั้นจะสามารถให้ได้ต่อหน่วยประจุไฟฟ้า

      E = I (R+r)

      เมื่อ  E  คือ  แรงเคลื่อนไฟฟ้า (V)
               I    คือ  ปริมาณกระแสไฟฟ้า (A)
               R   คือ  ความต้านทานภายนอกเซลล์ไฟฟ้า (โอห์ม)
               r   คือ  ความต้านทานภายในเซลล์ไฟฟ้า (โอห์ม)



      14.5.2 การต่อแบตเตอรี


      ก. การต่อแบตเตอรีแบบอนุกรม





      1.ต่อถูกทิศ (หันขั้วบวกของแบตเตอรี่ไปทางเดียวกัน)

      Eรวม = E1 + E2

      2.ถ้าต่อกลับทิศ (คือหันขั้วบวกของแบตเตอรี่ไปคนละทาง)

      Eรวม = E1-E2


      ความต้าน

      rรวม = r1+ r2




      ข.การต่อแบตเตอรีแบบขนาน





      แบตเตอรี่แต่ละตัวมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเท่ากัน และหันขั้วบวกไปทางเดียวกัน

      Eรวม = E แบตเตอรี่ตัวเดียว

      1/rรวม = 1/r1 + 1/r2 + ...

      14.6 เครื่องวัดไฟฟ้า



      14.6.1 แอมมิเตอร์







      14.6.2 โวลต์มิเตอร์








      14.6.3 โอห์มมิเตอร์







      บทที่13 ไฟฟ้าสถิต

      ไฟฟ้าสถิต (Static electricity หรือ Electrostatic Charges)
       เป็นปรากฏการณ์ที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากัน ปกติจะแสดงในรูปการดึงดูด,การผลักกันและเกิดประกายไฟ



         *** รูปแสดงฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ปรากฏการณ์จากประจุไฟฟ้าสถิต


      ประจุไฟฟ้า  (Charge)
      Law of Conservation of Charge )
      ประจุไฟฟ้าเป็นปริมาณทางไฟฟ้าปริมาณหนึ่งที่กำหนดขึ้น     ธรรมชาติของสสารจะประกอบด้วยหน่วยย่อยๆที่มีลักษณะและมีสมบัติเหมือนกันที่เรียกว่า อะตอม(atom)  ภายในอะตอม จะประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน 3 ชนิดได้แก่  โปรตอน (proton)  นิวตรอน (neutron) และ อิเล็กตรอน (electron)โดยที่โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก กับนิวตรอนที่เป็นกลางทางไฟฟ้ารวมกันอยู่เป็นแกนกลางเรียกว่านิวเคลียส (nucleus)  ส่วนอิเล็กตรอน มีประจุไฟฟ้าลบ จะอยู่รอบๆนิวเคลียส


      ***ภาพแสดงอะตอมมีจำนวนโปรตอนเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน(ในสภาพปกติ) 
      ตามปกติวัตถุจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า กล่าวคือจะมีประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ เท่ากัน เนื่องจากในแต่ละอะตอมจะมีจำนวนอนุภาคโปรตอนและอนุภาคอิเล็กตรอนเท่ากัน  เป็นไปตามกฏการอนุรักษ์ประจุ

      ข้อสังเกต  - ถ้าวัตถุมีสภาพประจุไฟฟ้าบวกเท่ากับประจุไฟฟ้าลบ  วัตถุนั้นเป็นกลาง จะไม่มีสภาพของไฟฟ้าสถิต
                         - ถ้าบนวัตถุมีประจุไฟฟ้าลบมากกว่าประจุไฟฟ้าบวก เรียกวัตถุนั้นว่าวัตถุมีประจุลบ (การที่มีประจุลบมากกว่าเกิดจากวัตถุนี้ได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มเข้ามา)

                         - ถ้าบนวัตถุมีประจุไฟฟ้าบวกมากกว่าประจุไฟฟ้าลบ เรียกวัตถุนั้นว่าวัตถุมีประจุบวก (การที่มีประจุบวกมากกว่าเกิดจากวัตถุนี้สูญเสียอิเล็กตรอนไป)


      การทำให้เกิดสภาพไฟฟ้าสถิตบนวัตถุ 
      1. วิธีการขัดถูกันของวัตถุ  

      ***ภาพแสดงการนำวัสดุมาขัดถูกันทำให้วัตถุมีประจุ ตรวจสอบโดยการต่อเข้ากับหลอดไฟ
      การที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากันทำให้เกิดแรงดึงดูดเมื่อวัตถุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุต่างชนิดกัน  หรือเกิดแรงผลักกัน เมื่อวัสดุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุชนิดเดียวกัน เราสามารถสร้างไฟฟ้าสถิตโดยการนำผิวสัมผัสของวัสดุ 2 ชิ้นมาขัดสีกัน  พลังงานที่เกิดจากการขัดสีกันทำให้ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุจะเกิดการแลกเปลี่ยนกัน  โดยจะเกิดกับวัสดุประเภทที่ไม่นำไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า ฉนวน ตัวอย่างเช่น ยาง,พลาสติก และแก้ว   สำหรับวัสดุประเภทที่นำไฟฟ้านั้น โอกาสเกิดปรากฏการณ์ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุไม่เท่ากันนั้นยาก  แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้


      ***รูปแสดงประจุลบจากผ้าขนสัตว์ติดบนแท่งอำพัน ทำให้แท่งอำพันมีประจุลบ และผ้าขนสัตว์มีประจุบวก


      การขัดสีหรือการถู  วัตถุ 2 ชนิดที่มาขัดสี หรือถูกัน จะทำให้มีการถ่ายเทของประจุไฟฟ้า(อิเล็กตรอน)ระหว่างวัตถุทั้งสอง วัตถุใดสูญเสียอิเล็กตรอนไปวัตถุนั้นจะมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก  ส่วนวัตถุที่ได้รับอิเล็ก ตรอนมา จะมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ   ในการขัดสีหรือถู จำนวนประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นบนวัตถุทั้งสองมีขนาดเท่ากัน แต่มีประจุไฟฟ้าเป็นชนิดตรงข้าม  เช่น วัตถุ A และ B เดิมเป็นกลางทางไฟฟ้า เมื่อนำมาถูกันปรากฏว่าหลังจากถูกัน วัตถุ A มีประจไฟฟ้า +1.6 x 10 ^-19 คูลอมบ์   แสดงว่าวัตถุ B ก็จะมีประจุไฟฟ้า -1.6 x 10^-19 คูลอมบ์  ตัวอย่างของการทำให้เกิดประจุบนวัตถุโดยการขัดถูกันของวัตถุ คือ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิต หรือเรียกว่า Van de graaff generator  หลักการขัดถูกันโดยใช้สายพาน ทำให้ทรงกลมมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก  เมื่อคนไปแตะทรงกลมจะทำให้คนเกิดประจุบวก เมื่อเส้นผมต่างมีประจุเป็นบวกก็จะเกิดแรงผลักกันทางไฟฟ้าสถิต ทำให้เส้นผมชี้ขึ้น








      "สรุปว่าการเกิดประจุจากการขัดสีกัน  วัตถุแต่ละอันจะมีขนาดประจุไฟฟ้าเท่ากัน แต่เป็นประจุชนิดตรงกันข้าม"


      13.1 แรงระหว่างประจุและกฎของคูลอมบ์







      เมื่อ    F  คือ  ขนาดของแรงกระทำ (N)          K  คือ ค่าคงที่ของคูลอมบ์ มีค่า 9 x 109 N-m2/c2          Q  คือ ขนาดประจุตัวที่1 และ2 ตามลำดับ (C)          r  คือ  ระยะห่างระหว่างประจุทั้งสอง (m)**** การคำนวณขนาดของแรงกระทำ ไม่ต้องนำเครื่องหมายของประจุมาคำนวณ****


      13.2 สนามไฟฟ้ารอบจุดประจุ





                 จุดประจุ หมายถึงประจุไฟฟ้าที่มีขนาดความกว้าง ความยาวน้อยมาก ( เช่นอิเล็กตรอน 1 ตัว ) และปกตินั้นประจุไฟฟ้าใดๆ จะมีแรงทางไฟฟ้าแผ่ออกมารอบๆ ตัวประจุขนาดหนึ่งเสมอ เราเรียกบริเวณรอบประจุซึ่งมีแรงทางไฟฟ้าแผ่ออกมานั้นว่า สนามไฟฟ้ า ( E )






                สนามไฟฟ้าเป็ นปริมาณเวกเตอร์ เพราะเป็น ปริมาณที่มีทิศทาง และทิศของสนามไฟฟ้า กําหนดว่า สําหรับตัวประจุบวก สนามไฟฟ้ ามีทิศออกตัวประจุ สําหรับตัวประจุลบ สนามไฟฟ้ ามีทิศเข้าตัวประจุ 
      ดังแสดงในรูป เส้นของแรงทีÉเขียนแทนแรงทางไฟฟ้า ที่แผ่ออกมาเรียก เส้นแรงไฟฟ้า 




      เมื่อ    E  คือ ความเข้มสนามไฟฟ้า (N/C)
                F  คือ  ขนาดของแรงกระทำ (N)
                K  คือ ค่าคงที่ของคูลอมบ์ มีค่า 9 x 109 N-m2/c2
                Q  คือ ขนาดประจุต้นเหตุ (C)
                r  คือ  ระยะห่างระหว่างประจุทั้งสอง (m)

      **** การคำนวณขนาดของแรงกระทำ ไม่ต้องนำเครื่องหมายของประจุมาคำนวณ**** 

      จุดสะเทิน คือจุดที่มีค่าสนามไฟฟ้ าลัพธ์มีค่าเป็ นศูนย์ โดยทั่วไปแล้ว

       1. จุดสะเทินจะ เกิดขึ้นได้เพียงจุดเดียวเท่านั้น
       2. จุดสะเทินของประจุ 2 ตัว จะเกิด ในแนวเส้นตรงที่ลากผ่านประจุทั้งสอง หากประจุทั้งสองเป็นประจุชนิดเดียวกัน จุดสะเทินจะอยู่ระหว่างประจุทั้งสอง หากประจุทั้งสองเป็นประจุต่างชนิดกัน จุดสะเทินจะอยู่รอบนอกประจุทั้งสอง
       3. จุดสะเทินจะเกิดอยู่ใกล้ประจุที่มีขนาดเล็กกว่า



                                                    

      13.3 ศักย์ไฟฟ้ารอบจุดประจุ




             เมื่อเรานําประจุทดสอบ ( q ) มาวางใน สนามไฟฟ้าของประจุต้นเหตุ ( Q ) ประจุทดสอบนั้น
      จะถูกแรงกระทําทําให้เกิดการเคลื่อนที่ และการที่ประจุทดสอบสามารถเคลื่อนที่ได้ แสดงว่า                 ประจุทดสอบนั้นมีพลังงานสะสมอยู่ภายในตัว พลังงานที่สะสมในประจุเช่นนี้ เรียกว่า
      พลังงานศักย์ไฟฟ้า ( Ep ) และขนาดของพลังงานศักย์ไฟฟ้าของประจุ 1 คูลอมบ์
      จะเรียกว่าศักย์ไฟฟ้ า ( V )
              ศักย์ไฟฟ้าเป็นปริมาณสเกลาร์ เพราะเป็นปริมาณที่ไม่มีทิศทาง เราสามารถคํานวณหาค่า
      ของศักย์ไฟฟ้ารอบจุดประจุได้จาก






      เมื่อ  V คือศักย์ไฟฟ้า ( โวลต์ )
              q คือประจุทดสอบ ( คูลอมบ์ )
              Ep คือพลังงานศักย์ไฟฟ้ าของประจุทดสอบ ( จูล )
              Q คือประจุต้นเหตุ ( คูลอมบ์ )
              R คือระยะห่างจากประจุต้นเหตุ ( เมตร )


      ข้อควรทราบ
       1) การคํานวณหาศักย์ไฟฟ้าต้องแทนเครื่องหมาย บวก และลบ ของประจุด้วยเสมอ
       2) เมื่อทําการเลื่อนประจุทดสอบ ( q ) จากจุดที่หนึ่งไปสู่จุดที่สองซึ่งมีศักย์ไฟฟ้าต่างกัน
      เราสามารถคํานวณหางานที่ใช้เลื่อนประจุนั้นได้จาก

        W = q (V2-V1)



       เมื่อ  W    คืองานที่ใช้ในการเลื่อนประจุ ( จูล )
               q      คือประจุที่ถูกเลื่อน ( คูลอมบ์ )
               V1   คือศักย์ไฟฟ้าที่จุดเริ่มต้น (โวลต์ )
               V2   คือศักย์ไฟฟ้าที่จุดสุดท้าย ( โวลต์ )


      13.4 สนามไฟฟ้า และศักย์ไฟฟ้าเนื่องจากประจุบนตัวนำทรงกลม



      กรณีที่1 คำนวณอยู่ภายนอก หรือผิววัตถุ ใช้สมการ


                                                

                                                        

      เมื่อ    E  คือ ความเข้มสนามไฟฟ้า (N/C)
                K  คือ ค่าคงที่ของคูลอมบ์ มีค่า 9 x 109 N-m2/c2
                Q  คือ ขนาดประจุต้นเหตุ (C)
                r  คือ  ระยะห่างระหว่างประจุทั้งสอง (m)
                V คือศักย์ไฟฟ้า ( โวลต์ )







      กรณีที่2  จุดที่คำนวณอยู่ภายในวัตถุ


      E ทุกจุดภายในตัวนำ = 0

      V ทุกจุดภายในตัวนำ = V ที่ผิววัตถุนั้น


      13.5 ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์และสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ




                                 




                                                




      เมื่อ    E  คือ ความเข้มสนามไฟฟ้า (N/C)
                q   คือ ประจุทดสอบ (C)
                d  คือ  ระยะห่างระหว่างจุดที่คำนวณ (m)
                V คือศักย์ไฟฟ้า ( โวลต์ )

      13.6 ตัวเก็บประจุและความจุ








      เมื่อ   C  คือ ตัวเก็บประจุ (F)
                Q  คือ ปริมาณประจุ
                V  คือ ศักย์ไฟฟ้า



      13.6.1 ตัวเก็บประจุ

      ตัวเก็บประจุ แบบทรงกลม











      เมื่อ  a คือ รัศมีทรงกลม (m)



      ตัวเก็บประจุ แบบแผ่นโลหะคู่ขนาน











      พลังงานไฟฟ้าที่เก็บสะสมในตัวเก็บประจุแผ่นโลหะคู่ขนานหาได้จาก


                                    


      เมื่อ  U คือ พลังงานที่เก็บสะสม (J)
            





      13.6.2 การต่อตัวเก็บประจุ




                                         






                                             

      13.6.3 การถ่ายโอนประจุระหว่างทรงกลมตัวนำ

      การถ่ายโอนประจุ เป็นไปภายใต้กฎ คือ

      1. หลังแตะ ศักย์ไฟฟ้าของตัวเก็บประจุทุกตัวจะเท่ากัน
      2. ประจุรวมก่อนแตะ = ประจุรวมหลังแตะ